top of page
Search
  • Writer's pictureUnderdogs.

Read : 11 ปี รัฐประหารสนธิ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น พี่ก็รักเธอ

Updated: Dec 10, 2018




“ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น พี่ก็รัก...(ชื่อเธอ)” เป็นประโยคที่เพื่อนคนหนึ่งของผม ฉวยโอกาสบอกกับคนรักของเขา(ในตอนนั้น)ผ่านโทรศัพท์มือถือ ขณะเดียวกับที่ คณะรัฐประหารของ พล.อ.สนธิ ไม่ลิ้มทองกุล ประกาศเข้าครองอำนาจเหนือรัฐธรรมนูญผ่านโทรทัศน์

แม้จะผ่านเวลามา 11 ปีแล้ว แต่ประโยคนั้นยังเป็นโคว้ตที่ตรึงติดอยู่ในความทรงจำผมอย่างแน่นหนึบ และเพื่อนร่วมสถานการณ์อีกหลายคน ก็คงยังจำมันได้ดี พอๆกับคำว่า “โปรดฟังอีกครั้ง” เพื่อนคนนั้น ยังถูกอำด้วยประโยคที่ว่า อยู่นานหลายปี ขนาดเปลี่ยนคนรัก กระทั่งแต่งงาน จนเดี๋ยวนี้มีลูกแล้วก็ตาม

เท่าที่จำได้ ในคืนนั้น เพื่อนหลายคนมากองกันอยู่บนเตียงสองชั้นที่ห้องของผม ในหอพักทับแก้วสอง ของมหาวิทยาลัยศิลปากร วิทยาเขตพระราชวังสนามจันทร์ ด้วยเพราะ ห้องนั้นเป็นศูนย์รวมความบันเทิงครบวงจร ทั้งคอมพิวเตอร์ เพลย์สเตชั่น ถ้ารามคำแหงมีเปลวเทียนให้แสง ห้อง ห้องนี้ก็ให้ได้ใหญ่กว่า เพราะว่า พวกเรามีแจกันไฟ

พวกเรากำลังเล่น “วินนิ่ง” กันอยู่ จนเพื่อนที่มีพ่อเป็นสายลับ(หน่วยข่าวกรอง) ได้รับโทรศัพท์จากทางบ้าน และบอกให้พวกเราเปิดทีวีเพื่อรอฟังประกาศยึดอำนาจ โดยนายทหารและคณะปฎิวัติ (ตอนนั้นเรายังเรียก รัฐประหารว่า ปฎิวัติกันอยู่เลย)

(รูมเมทของผม มีพ่อเป็นสายลับ มันยังบอกอีกว่า พ่อของมันเป็นอาจารย์สอนยิงปืน ผมก็ไม่เข้าใจว่า สายลับประเทศนี้เขาเก็บความลับกันยังไง เพราะคนทั้งคณะ ไม่มีใคร ไม่รู้ว่า พ่อของเพื่อนคนนั้นเป็นสายลับ)

ตอนนี้ ผมยังไม่ค่อยสนใจการเมืองหรอก รู้เพียงว่า “ทักษิณ” ได้รับความนิยมอย่างสูง ผมจำได้แม่นว่า ครั้งหนึ่งผมนั่งดูโทรทัศน์พร้อมกับพ่อ และแม่ที่บ้านขอนแก่น ในรายการเมืองไทยรายสัปดาห์ที่มี สนธิ ลิ้มทองกุล เป็นผู้ดำเนินรายการ ตัวสนธิยังพูดเองว่า “ผมถือว่าเขา(ทักษิณ)เป็นนายกฯที่ดีที่สุดเท่าที่ประเทศนี้เคยมีมา” (พิมพ์ประโยคนี้ลงในยูทูป แล้วท่านจะเจอเทปรายการตอนที่ผมอ้าง)

ประโยคนี้น่าจะบ่งบอกถึงความนิยมของทักษิณในช่วงนั้นได้ดีที่สุด (ประโยคนี้ทำให้ ผมตั้งข้อสงสัยในการประท้วงขับไล่ทักษิณของสนธิด้วยเช่นกัน)

ผมจำได้อีกว่า ห้วงเวลาก่อนรัฐประหารครั้งนั้น ในตอนเช้าๆที่ ผมต้องนั่งรถไฟจากอำเภอเมืองนครปฐมไปฝึกงานที่ ตำบลศาลายา อำเภอพุทธมณฑล จะต้องเจอกับ กลุ่มประชาชนที่มีผ้าคาดหัวสีเหลืองซึ่งเขียนคำว่า “กู้ชาติ” เอาไว้ ผมยังคิดจะขอผ้าคาดหัวจากพวกเขามาเก็บ เพื่อเอาไว้ระลึกถึงเหตุการณ์ทางการเมืองอันน่าตื่นใจครั้งนั้น(เพื่อนทักว่า จริงๆมันคือช่วงหลังรัฐประหาร ในยุครัฐบาลสมัคร ซึ่งก็จริง ผมจำผิด)

จะว่าไป ตอนนั้นผมก็ไม่ใส่ใจกับการชุมนุมเท่าไหร่นัก เพราะไม่ว่าประเทศจะต้องปกครองด้วยระบอบใด หรือใคร นายกฯจะเป็นทหารหรือไม่ และอย่างไร เศรษฐกิจของบ้านผมก็ไม่ได้ถูกกระทบจากการเมืองอยู่แล้ว ด้วยเพราะพ่อกับแม่มีอาชีพเป็นข้าราชการ วิกฤตเศรษฐกิจหรือการเมืองจึงไม่เคยเป็นความทรงจำที่ปวดร้าวสำหรับเรา วิกฤตต้มยำกุ้ง วิกฤตเผด็จการรัฐสภา หรือวิกฤติแกงอ่อม ปลาร้าบอง ก็ไม่เคยกระทบต่อปากท้องของผม

ผมเลยไม่ได้อินกับการเมือง หรือการประท้วงใดๆ

เมื่อเข้าสู่วัยทำงาน ผมสนใจการเมืองมากขึ้น มากขึ้นอย่างมีนัยยะสำคัญ มีช่วงหนึ่งถึงขนาดเปิดยูทูปฟังเสวนาการเมือง แกล้มเบียร์ในวันหยุดสุดสัปดาห์ แทนการดูหนัง หรือฟังเพลงแบบคนปกติ แต่ก็ไม่รู้อะไรทำให้ผมสนใจการเมืองหรอกนะ

เอาเข้าจริง การสนใจการเมืองของผม เพียงแค่สนใจเรื่อง “ความตลกของการเลือกปฎิบัติ” และ “การผิดคำพูดหรือกลับคำพูดของนักการเมือง” เท่านั้น ผมไม่ได้สนใจ หรือเป็นคนมีอุดมการณ์ทางการเมืองระดับแรงกล้า ไม่ใช่คนที่พร้อมจะลุกขึ้นมาพลีกายแลกประชาธิปไตย ถ้าจะเรียกผมเป็น “ไทยเฉย” ก็ได้ ไม่โกรธ

ทีนี้ พอนึกถึงวันที่ 22 พฤษภาคม 2557 บ้าง ผมจำได้ดีเช่นกันว่า ผมกำลังขับรถอยู่ในซอยหลังออฟฟิศใกล้แยกเพลินจิตเพื่อรอขึ้นทางด่วนกลับบ้าน เมื่อได้ยินข่าวว่า ทหารทำรัฐประหาร ทางวิทยุ ผมรู้สึกผิดหวังมาก

ผมรู้สึกผิดหวังที่ ประเทศไทยไม่รู้จักโตซะที ไม่เคยเรียนรู้จากความล้มเหลวในอดีต ผมเชื่อว่า ประเทศของเราควรจะเรียนรู้จากการไม่รู้จักเลือกของตัวเองซะที เรียนรู้ที่จะเอาคะแนนเสียงของตัวเองต่อรองกับนักการเมือง และไม่ควรถูกทหารตัดตอนกระบวนการเรียนรู้นี้

“จะไม่มีรัฐประหารเกิดขึ้นอีก เพราะทหารรู้แล้วว่า ทำรัฐประหารแล้วต่างชาติไม่ยอมรับ” ผมจำได้ว่า เพื่อนผู้จบการศึกษาด้านการเมืองการปกครองจากมหาวิทยาลัยชื่อดังย่านท่าพระจันทร์พูดกับผมด้วยประโยคทำนองนี้

ผมยังจำได้อีกว่า เพื่อนผู้จบหลักสูตรการตลาดจากมหาวิทยาลัยที่ใหญ่ที่สุดของขอนแก่น พูดกับผมที่ร้านอาหารริมแม่น้ำเจ้าพระยาว่า “รัฐประหารมาแน่ ที่สังสัยแค่มาช้า หรือเร็วเท่านั้น”

ตอนนี้ สถานการณ์ทั้งหมดได้บอกแล้วว่า ใครถูกใครผิด แต่สิ่งที่ผมสงสัยต่อคือ

“เลือกตั้งล่ะ จะมาแน่ไหม”


Read : ข้อเขียนชวนอ่านฆ่าเวลา เยียวยาการนอนไม่หลับ

เรื่องและภาพ : Nontarat Phaicharoen. นักข่าวปลอม เขียนข่าวในประเทศไทย เอาใจเมกา

2 views0 comments
bottom of page